Data Mart คืออะไร?


ต่อเนื่องมาจากเรื่อง Data Warehouse หรือคลังข้อมูลนะครับ

ในกรณีที่องค์กรมีคลังข้อมูลหลาย ๆ อัน เพื่อใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ที่แตกต่างกันไป
เช่น คลังข้อมูลด้านการเงิน, คลังข้อมูลด้านทรัพยากรมนุษย์ และคลังข้อมูลทางด้านการผลิต
เรามักเรียกคลังข้อมูลเฉพาะด้านเหล่านี้ว่า Data mart หรือ ตลาดข้อมูล

ดังนั้น Data Mart ก็คือ ส่วนย่อยของ Data Warehouse โดยจะมีลักษณะเป็นคลังข้อมูล
ขนาดเล็กี่เก็บข้อมูลที่เฉพาะเจาะจง โดย Data Mart จะมีประโยชน์ที่เด่นชัดคือ
การจัดทำคลังข้อมูลจะใช้เวลาสั้น และการนำไปประยุกต์ใช้ในเชิงวิเคราะห์เพื่อการตัดสินใจ
ก็สะดวกกว่าการใช้คลังข้อมูลกลางขององค์กรครับ

Data Warehouse คืออะไร?

Data Warehouse (คลังข้อมูล) คือ คลังของข้อมูลที่ได้รับการออกแบบมา
เพื่อจัดเก็บข้อมูลที่มีจำนวนมาก โดยจะเป็นฐานข้อมูลขนาดใหญ่
ที่รวบรวมฐานข้อมูลจากหลายแหล่งหลายช่วงเวลา ทั้งอดีตและปัจจุบัน
โดยข้อมูลที่เก็บจะต้องเป็นข้อมูลสารสนเทศที่สามารถตอบปัญหาเชิงธุรกิจ
ขององค์กรได้


แล้วคลังข้อมูลแตกต่างจากฐานข้อมูลอย่างไร?

โดยปกติแล้ว ฐานข้อมูลในองค์กรทั่วไปจะมีลักษณะที่ค่อนข้างทันต่อเหตุการณ์
ตัวอย่างเช่น ฐานข้อมูลพนักงานก็จะเก็บเฉพาะพนักงานที่ทำงานในปัจจุบัน โดยจะไม่สนใจข้อมูลพนักงานเก่า ๆ ในอดีต
ซึ่งอาจจะมีข้อมูลบางอย่าง ที่มีประโยชน์ต่อผู้บริหาร เพื่อใช้วิเคราะห์ประสิทธิภาพหรือความต้องการต่าง ๆ ขององค์กรนั้น ๆ ได้
นอกจากนี้ ฐานข้อมูลแต่ละอันมักถูกออกแบบมาใช้เก็บข้อมูลเฉพาะด้าน จึงมีข้อมูลเฉพาะบางส่วนขององค์กรเท่านั้น
ฉะนั้นคลังข้อมูลจึงถูกออกแบบมา เพื่อรวบรวมข้อมูลในทุกส่วนของทั้งบริษัท ทั้งเก่าและใหม่ไว้ด้วยกัน ไม่มีการลบทิ้งข้อมูลเก่า ๆ
ที่ไม่จริงในปัจจุบัน

สรุปง่าย ๆ เพื่อให้เข้าใจและจำได้ง่ายก็คือ

  • คลังข้อมูล ใช้เพื่อการวิเคราะห์ โดยมีข้อมูลทั้งในอดีตและปัจจุบัน
  • ฐานข้อมูล ใช้เพื่อทำการประมวลผล โดยจะมีเฉพาะข้อมูลปัจจุบันเท่านั้น

Tool & Technology

มา Update บทความกันอีกแล้วครับ
ช่วงนี้งานเยอะมากไม่ค่อยมีเวลาเท่าไร
แต่ก็จะพยายามเข้ามาเพิ่มบทความเรื่อย ๆ ครับ

สำหรับวันนี้เราก็จะมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องเครื่องมือ และเทคโนโลยี
หรือองค์ประกอบการทำงานของโปรแกรมประเภท
BI (Business Intelligence) โดยทั่ว ๆ ไป
ว่าเราต้องใช้เครื่องไม้เครื่องมือและเทคโนโลยีใดบ้างในการพัฒนา

ซึ่งในแง่ของ Tool & Technology ที่เราต้องใช้ในการพัฒนาระบบ
BI ขึ้นมานั้น ก็จะประกอบไปด้วยระบบข้อมูล และโปรแกรม
แอพพลิเคชั่นต่าง ๆ ในด้านการวิเคราะห์ เช่น

  • Data Warehouse (คลังข้อมูล)
  • Data Mart (ตลาดข้อมูล)
  • Data Mining (การทำเหมืองข้อมูล)
  • OLAP (Online Analytical Processing)

โดยรายละเอียดของแต่ละตัวผมจะอธิบายในบทความต่อ ๆ ไปครับ

มารู้จักกับ BI : Business Intelligence



ไหน ๆ วันนี้ก็ได้เขียน Blog เป็นวันแรก ก็ขอเขียนบทความซักเรื่อง
เพื่อเป็นการฉลองละกันนะครับ (ไฟแรงจริงตู)

ก่อนอื่นผมขอแนะนำให้รู้จักกับ BI ก่อนละกันนะครับ ว่ามันคืออะไร ?
แล้วเราจำเป็นที่จะต้องใช้มันมั๊ย ?

เริ่มจากคำว่า BI นะครับ จริง ๆ BI เป็นคำที่ถูกย่อมาจากคำว่า
"Business Intelligence" แปลง่าย ๆ แบบมั่ว ๆ ซั่ว ๆ ก็คือ
ปัญญาธุรกิจ โดย BI จะเป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์ประเภทหนึ่ง
ที่ใช้สำหรับวิเคราะห์ข้อมูลต่าง ๆ ทางด้านธุรกิจขององค์กร เพื่อช่วยในการตอบคำถามหรือช่วยการตัดสินใจของผู้บริหาร
โดยอาศัยข้อมูลที่องค์กรมีอยู่ ไม่ว่าจะเป็นข้อมูลในรูปของ Excel, Textfile หรือ ข้อมูลที่มีการเก็บไว้ในฐานข้อมูลหรือ Database ของ องค์กรนั้น ๆ

นอกจากความสามารถในการช่วยวิเคราะห์ข้อมูลที่ต้องการแล้ว ตัว BI ยังเป็นตัวช่วยลดระยะเวลาการทำงานทางด้านการวิเคราะห์ข้อมูล
ขององค์กรให้รวดเร็วขึ้นด้วย จากที่เราต้องพิมพ์ Report หรือทำ Excel ออกมา
เพื่อทำการวิเคราะห์ข้อมูลโดยต้องอาศัยการทำงานจากมนุษย์ กว่าจะได้ข้อมูล
ที่ใช้ในการวิเคราะห์แต่ละที ก็ต้องใช้เวลาที่ค่อนข้างนาน ยิ่งถ้าเรื่องที่ต้องการ
วิเคราะห์มีความเกี่ยวข้องกับข้อมูลหลาย ๆ แหล่งหรือหลาย ๆ แผนกก็ยิ่งทำให้
ต้องใช้เวลาในการเตรียมข้อมูลมากยิ่งขึ้น โดยบางครั้งอาจต้องใช้เวลาหลายวัน
ก็เป็นได้ แต่หากเราใช้ BI เป็นตัวช่วยในการวิเคราะห์ปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้
ก็จะหมดไป

ระบบ BI ที่ดีจะต้องสามารถ นำเสนอข้อมูลสารสนเทศในเชิงภาพรวม
ของธุรกิจทั้งหมดขององค์กรทั้งในอดีต ปัจจุบันและอนาคตได้ เพื่อทำให้ขีดความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลสารสนเทศขององค์กร
ดีขึ้น (เร็วขึ้น, ถูกต้องแม่นยำมากยิ่งขึ้น) และที่สำคัญนั่นก็คือสามารถวิเคราะห์และตอบคำถามของเชิงธุรกิจขององค์กรได้

จากความสามารถของ BI ที่ได้บ่น ๆ มาให้ฟัง ในความเห็นส่วนตัว ผมว่ามันเป็น
โปรแกรม ที่เหมาะกับองค์กรหรือธุรกิจขนาดกลาง ไปจนถึงขนาดใหญ่หรือใหญ่มาก
(ถ้าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก อย่างเช่น ธุรกิจค้ากล้วยทอด.. ผมว่าไม่มีความจำเป็นที่จะ
ต้องใช้โปรแกรม BI หรอกครับ) เพราะเนื่องจากปัจจัยหลาย ๆ อย่าง เช่น ปริมาณข้อมูลอันมหาศาลขององค์กร, ปัจจัยทางด้านราคาของตัวโปรแกรม BI เอง
(BI ส่วนใหญ่ราคาค่อนข้างแพงถึงแพงมาก), ลักษณะของธุรกิจที่ทำ ดังนั้นโปรแกรม
BI จึงเหมาะกับองค์กรที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้นมากกว่า ซึ่งสิ่งที่องค์กรจะได้รับกลับ
มาจากการใช้โปรแกรมประเภท BI นั่นก็คือ ความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำ ในการวิเคราะห์
ข้อมูล เพื่อใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ อันหมายถึงโอกาสที่ดีต่าง ๆ ทางธุรกิจที่จะตามมา

เฮ้อ! เขียนซะยาว เหนื่อยแล้ว ขอนอนก่อนดีก่าา

จุดเริ่มต้น ที่มาที่ไป !


วันนี้ดีใจจริง ๆ ที่ได้เริ่มเขียน Blog ซักที
หลังจากใช้เวลานึกอยู่นานว่าจะเขียนเรื่องอะไร
จนสุดท้ายก็ตกลงปลงใจได้ว่าจะเขียนเรื่องที่ต้นเองถนัด (รึป่าวหว่า?)
และก็ไม่ค่อยมีคนสนใจหรือเขียน Blog เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้สักเท่าไร
นั่นก็คือเรื่องเกี่ยวกับ BI ที่ชื่อว่า QlikView
(หลายคนสงสัยว่ามันคืออะไร? เอาไว้อ่านในบทความละกันนะครับ)


โดยส่วนตัวคิดว่าเรื่องที่จะเขียนเป็นเรื่องที่หลายคนค่อนข้างสนใจ
(อย่างน้อยก็ 2 คนขึ้นไปล่ะน่า) แต่ยังไม่ค่อยมีคนให้ความรู้เรื่องนี้กันซักเท่าไร ส่วนมากผู้ที่สนใจก็จะต้องไปค้นหาจากเว็บต่างประเทศบ้าง
จากหนังสือภาษาต่างชาติบ้าง ซึ่งตัวผมเองก็เช่นกันเริ่มจากการศึกษาตามเว็บต่างประเทศ
และหนังสือภาษาต่างชาติเช่นกัน รู้เรื่องบ้าง ไม่รู้เรื่องบ้าง มั่วบ้าง เดาบ้าง
(เพราะเก่งภาษาจัด!) ก็ทำให้พอมีประสบการเกี่ยวกับโปรแกรม BI ตัวนี้ จนปิ๊งขึ้นมาได้ว่า
"แล้วทำไมตูไม่ทำ Blog ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับโปรแกรม QlikView ซะเลยฟะ
เพราะไหน ๆ ก็อยากจะทำ Blog
อยู่แล้วนี่...
จะได้เป็นการให้ความรู้กับคนอื่นด้วย"

เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว เมื่อวานก็เลยรีบไปซื้อหนังสือเกี่ยวกับการทำ Blog มาอ่าน
(อ่านวันเดียวจบ.. ทำไมมันง่ายจัง? ไม่เห็นต้องซื้อหนังสือมาอ่านก็น่าจะทำเองได้)
วันนี้จึงได้เริ่มลงมือสร้าง Blog มาให้ทุกท่านได้อ่านกันนี่แหละคร้าบบบ ยังงัยก็รอ
ติดตามอ่านบทความกันได้นะครับ จะพยาม Update Update และ Update
กันบ่อย ๆ เน้อ

 
Home | Gallery | Tutorials | Freebies | About Us | Contact Us

Copyright © 2009 QlikView |Designed by Templatemo |Converted to blogger by BloggerThemes.Net

Usage Rights

DesignBlog BloggerTheme comes under a Creative Commons License.This template is free of charge to create a personal blog.You can make changes to the templates to suit your needs.But You must keep the footer links Intact.